Blog
Home » Blogs » Peerat.r's blog
Home » Blogs » Peerat.r's blog
(ภาษาไทยอ่านต่อข้างล่าง)
A new tool called "Copyright Match" designed to find re-uploads of content by other creators is now being rolled out for creators with more than 100k subscribers. It works based on “Youtube’s Content ID system” which recognizes either the sounds used in the videos or the sequence of visual contents like a fingerprint system. When the tool finds a match, the content creator will be able to choose what action to take.
So what’s different between Copyright Match tool and Content ID?
While they work similarly, they have a difference on who can use and options on taking action. Content ID will have options to block the video, monetize that video, or see the analytics of those videos, and will be available only to copyright owners who meet specific criteria, see here.
Copyright match tool on the other hand, is now available to content creators who have more than 100k subscribers, and only have options to contact offending channels, or ask Youtube to take down the video.
For a video social network platform, copyright protection is important as it ensures that the intellectual property of creators are secured and encourage them to create more content in the future. While Facebook has its own copyright detection system across its main platform and instagram plus new arrival, Instagram TV, it makes sense that Youtube try to step up the game to ensure they secure their creators from changing the platform.
As the competition goes on, we can expect to see more options from these platforms, which is great news for its users and creators. We will keep an eye on what will come next.
------------------------------------------------------------------------
Youtube ปล่อยเครื่องมือตัวใหม่ชื่อ Copyright Match Tool ซึ่งทำมาเพื่อให้ผู้สร้างคอนเทนต์ ได้ค้นหาว่าใครเอาคอนเทนต์ของตัวเองไปอัพโหลดซ้ำ ซึ่งกรณีผู้ที่อัพโหลดคอนเทนต์เหล่านั้นได้ผลประโยชน์จากการเอาคอนเทนต์คนอื่นมาอัพโหลดใหม่เป็นของตัวเองกำลังเป็นปัญหาเรื้อรังสำหรับ Youtube. โดยในขณะนี้เครื่องมือตัวนี้ได้ปล่อยออกมาให้สำหรับผู้สร้างคอนเทนต์ที่มีผู้ติดตาม 1แสนคนขึ้นไปเท่านั้น. โดย Copyright match tool นี้ทำงานในรูปแบบเดียวกับระบบ Content ID ของ Youtube ซึ่ง Youtube ปล่อยมาซักระยะแล้ว โดยที่เครื่องมือจะตรวจหาคอนเทนต์ที่ถูกอัพโหลดใหม่จากการจับความถี่เสียงและการลำดับภาพของวีดีโอคอนเทนต์นั้นๆ ซึ่งเมื่อเครื่องมือตรวจพบว่าคอนเทนต์เหมือนกัน จะทำการแจ้งผู้ที่เป็นเจ้าของคอนเทนต์ให้ทราบว่า ใครกำลังใช้คอนเทนต์นี้อยู่ และให้เจ้าของคอนเทนต์เลือกว่าจะลงมือจัดการทำอย่างไรต่อไป
คำถามคือ Copyright Match Tool แตกต่างจาก Content ID อย่างไร?
ถึงจะทำงานในลักษณะเดียวกัน แต่ความแตกต่างของสองเครื่องมือนี้อยู่ตรงตัวเลือกที่สามารถเลือกทำได้หลังจากพบการค้นหาคอนเทนต์ซ้ำ. โดย Content ID จะมีตัวเลือกในการบล็อควีดีโอนั้นทำให้ไม่สามารถดูได้, เปลี่ยนให้วีดีโอนั้นทำเงินให้กับตัวเอง, หรือเข้าดูสถิติที่ Youtube วิเคราะห์ข้อมูลออกมาสำหรับผู้อัพโหลดคอนเทนต์นั้นๆได้. Content ID นี้จะสามารถใช้ได้เฉพาะผู้ถือลิขสิทธิ์บางรายที่ยื่นแบบฟอร์มในการใช้กับ Youtube และผ่านข้อกำหนดเฉพาะบางประการ. คลิกที่นี่เพื่อตรวจดูข้อกำหนด
ส่วนในด้าน Copyright match tool เปิดให้ใช้เฉพาะผู้สร้างคอนเทนต์ที่มีผู้ติดตาม 1 แสนคนขึ้นไปเท่านั้น และตัวเลือกในการจัดการมีแค่ ติดต่อผู้ที่เอาคอนเทนต์ไปอัพโหลดซ้ำ หรือ ยื่นคำร้องให้ Youtube ลบวีดีโอนั้น
สำหรับแพลตฟอร์ม social media ที่มีวีดีโอเป็นคอนเทนต์หลักแล้ว การป้องกันลิขสิทธิ์และทรัพย์สินทางปัญญาเป็นเรื่องสำคัญมาก การทำให้ผู้สร้างคอนเทนต์หรือเจ้าของทรัพย์สินเหล่านั้นรู้สึกมั่นใจ ว่าคอนเทนต์ของกลุ่มเหล่านี้ได้รับการปกป้อง การละเมิดลิขสิทธิ์จะโดนจัดการอย่างถูกต้อง สิ่งเหล่านี้จะทำให้ผู้ทำคอนเทนต์มีความมั่นใจและเลือกที่จะใช้บริการแพลตฟอร์มนั้นๆต่อไป ขณะที่ Facebook มีระบบการจัดการลิขสิทธิ์ของตัวเอง โดยใช้พ่วงทั้ง Instagram และน้องใหม่อย่าง Instagram TV. ซึ่งทำให้เราเข้าใจว่านี่เป็นก้าวสำคัญก้าวหนึ่งที่ Youtube พยายามจะก้าวหน้า เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้สร้างคอนเทนต์ของแพลตฟอร์มตัวเองย้ายไปแพลตฟอร์มอื่นนั่นเอง
ในขณะที่การแข่งขันระหว่างสองยักษ์ใหญ่แห่ง Social media กำลังดำเนินต่อไป, เราสามารถมองเห็นและคาดหวังได้เลยว่าจะมีอัพเดตใหม่ๆ แย่งกันออกมาระหว่างสองแพลตฟอร์มนี้ ซึ่งถือว่าเป็นข่าวดีสำหรับผู้ใช้แพลตฟอร์มและผู้สร้างคอนเทนต์ คงต้องรอดูกันต่อไปว่าจะมีอะไรมาให้เราแปลกใจกันอีก